พิธีแต่งงานที่ญี่ปุ่น

Posted on Updated on

                11

                พิธีแต่งงานในประเทศญี่ปุ่นเค้ามีความหลากหลายมากเลยค่ะ มีทั้งแบบลัทธิชินโต แบบศาสนาพุทธ แบบศาสนาคริสต์ หรือไม่มีพิธีการทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องเลยสำหรับงานเลี้ยงก็จะมีทั้งแบบญี่ปุ่นและแบบตะวันตกด้วย ซึ่งความหลากหลายนี้มีมากจนทำให้ดูเหมือนว่าประเทศญี่ปุ่นเองไม่มีพิธีการแต่งงานที่เป็นแบบเฉพาะของตนเองเลยหรือ เพราะแม้แต่พิธีแต่งงานแบบลัทธิชินโตที่ดูว่าน่าจะเป็นแบบประเพณีนิยมก็มีประวัติไม่ยาวนานนัก เพิ่งจะเริ่มมีในสมัยเมจิและแพร่หลายมา

เรื่อยๆ ค่ะ

แต่ดั้งเดิมนั้น การแต่งงานในญี่ปุ่นถือว่าเป็นการผูกพันกันระหว่างคนสองคน

อย่างไรก็ตามในสมัยศักดินาเมื่อมีการให้ความสำคัญต่อการผูกพันระหว่าง

ครอบครัวกับครอบครัวมากกว่าส่วนบุคคล เจ้าสาวจึงต้องเดินทางไปบ้านเจ้าบ่าว

เพื่อประกอบพิธีแต่งงานค่ะตามด้วยรูปแบบของการชุมนุมญาติพี่น้องที่จะจัดเลี้ยง

แสดงความยินดีซึ่งสืบทอดมาเป็นเวลานาน พิธีแต่งงานในญี่ปุ่นจึงจัดขึ้นโดย

ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องศาสนาและความเชื่อใดๆ เลยค่ะ

ปัจจุบันพิธีแต่งงานและงานเลี้ยงรับรองส่วนใหญ่จะจัดในโรงแรมและสถานที่

สำหรับจัดพิธีแต่งงานโดยเฉพาะ ในกรณีของการแต่งงานแบบลัทธิชินโตและ

แบบศาสนาพุทธจะมีเพียงญาติพี่น้องเท่านั้นที่เข้าร่วมพิธี ส่วนแขกที่ได้รับเชิญ

คนอื่นๆ จะมาร่วมในงานเลี้ยงฉลองซึ่งจัดขึ้นหลังจากนั้น

สำหรับพิธีแต่งงานแบบศาสนาคริสต์ซึ่งจัดตามโบสถ์หรือโบสถ์ใน

สังกัดของโรงแรมนั้นมิตรสหายสามารถเข้าร่วมได้จึงเป็นที่นิยมในระยะหลังๆ นี้

ในพิธีแต่งงานของชาวญี่ปุ่นนั้น เราจะเห็นเจ้าสาวทั้งในชุดแต่งงานกิโมโนสีขาวแบบประเพณีนิยมและชุดสีขาวแบบตะวันตก นั่นเป็นประเพณีของญี่ปุ่นที่เรียกว่า “อิโระนะโอะฌิ” แปลตามตัวอักษรหมายถึง การเปลี่ยนสี ในที่นี้จะหมายถึงการเปลี่ยนเสื้อผ้าของเจ้าสาวโดยประเพณีนี้มีที่มาจากการที่คนในสมัยโบราณจะสวม

เสื้อผ้าสีขาวซึ่งถือว่าเป็นสีศักดิ์สิทธิ์ในพิธีการต่างๆ ไม่จำกัดเฉพาะพิธีการแต่งงานเท่านั้น และเมื่อเสร็จพิธีก็จะเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสีธรรมดาจึงเรียกการเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบนี้ว่าอิโระนะโอะฌิ สีขาวของชุดเจ้าสาวนั้นหมายถึง ความบริสุทธิ์ ยังไม่ได้ถูกย้อมเป็นสีใดๆ เลย และการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นสีอื่นๆ เมื่อเสร็จพิธี ก็หมายถึงว่าได้ย้อมเป็นสีของครอบครัวของเจ้าบ่าวแล้วดังนั้นอิโระนะโอะฌิ ควรทำเพียงครั้งเดียว แต่ในปัจจุบันนี้จากการที่เจ้าสาวต้องการสวมใส่เสื้อผ้าหลายๆ แบบ จึงทำให้อิโระนะโอะฌิกลายเป็นการแสดงแฟชั่นไปค่ะ

ขอขอบคุณ KaWaiiNe~~  ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล

ที่มา Dek-d

Why..we..Wed?

Posted on Updated on

แต่งงาน
แต่งงาน

เคยสงสัยไหมว่าสารพัดพิธีกรรม ที่ต้องทำในงานแต่งงานนั้นทำไปเพื่ออะไร บางเรื่องก็มีเหตุผลละเอียดซับซ้อน อย่างคาดไม่ถึง หากคุณเข้าใจนัยยะ ที่แอบซ่อนอยู่ในการกระทำเหล่านั้น ทุกวินาทีในวันสำคัญของคุณ จะมีความหมายขึ้นอีกร้อยเท่าพันทวี

1. ทำไมชุดเจ้าสาวต้องเป็นสีขาว?
ก่อนปีค.ศ. 1840 ชุดเจ้าสาวเป็นเพียงชุดที่ดีที่สุด เท่าที่มีอยู่ และสีสันสำหรับชุดเจ้าสาว ล้วนต่างกันออกไป เช่น ในศตวรรษที่ 16-17 เจ้าสาววัยทีนนิยม สวมเจ้าสาวสีเขียวอ่อน สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ หากอายุเกิน 20 ปีมักใช้สีน้ำตาล และถ้าเป็นสาวแก่ อายุมากหน่อย อาจเป็นเจ้าสาวในชุดดำเลยก็ได้ มาถึงต้นศตวรรษที่ 18 มีแต่เจ้าสาวผู้ยากไร้เท่านั้น ที่สวมชุดแต่งงานสีขาว เป็นการประกาศทางอ้อม แก่สาธารณชนว่า ตัวเธอไม่มีสมบัติใดติดตัวแต่งงานเลย แต่แล้วสตรี ผู้พลิกโฉมหน้าใหม่ ให้กับชุดเจ้าสาวอันส่งผลกระทบ ไปทั่วโลกตราบจนปัจจุบัน คือควีนวิกตอเรียแห่งอังกฤษ ผู้เข้าพิธีอภิเษกสมรส กับเจ้าชายอัลเบิร์ตในปีค.ศ. 1840 ฉลองพระองค์ชุดแต่งงาน ตัดเย็บจากผ้าซาตินสีขาว ประดับด้วย ดอกส้มผลิบาน และราชินีผู้เป็นศิลปิน ทรงร่างแบบเวลด้วยพระองค์เอง (ทรงแหกกฎที่บังคับ ให้เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ต้องสวมชุดเจ้าสาวสีเงิน) งานนี้กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ภาพเจ้าสาวในชุดแต่งงานสีขาวงามสง่า กับพิธีแต่งงานในโบสถ์ ซึ่งสวยงามราวกับเทพนิยาย ได้กลายเป็นภาพที่สาวๆ ทั่วโลกใฝ่ฝันอยากจะเป็น ดังนั้น ตอบคำถามได้อีกข้อว่า

2. ทำไมชุดเจ้าสาวถึงต้องดูเหมือนชุดเจ้าหญิงในเทพนิยาย
สืบเนื่องมาจากภาพตราตรึงใจ (เหนือกาลเวลา) ในพิธีอภิเษกสมรสของควีนวิกตอเรีย ส่งให้ชุดแต่งงาน ในลุคเจ้าหญิง ยังคงฮิตไม่สร่าง ข้ามศตวรรษอย่างนี้ ข่าวดีสำหรับสาวน้อยสาวใหญ่ที่อยากแปลงกายเป็นเจ้าหญิงชั่วข้ามคืน เมื่อวอลท์ ดิสนีย์ ปิ๊งไอเดียให้ทีมดีไซเนอร์ออกแบบชุดแต่งงาน ตามคาแรคเตอร์ของอมตะการ์ตูนดัง ในสังกัด อาทิ ซินเดอเรลลา สโนไวท์ เจ้าหญิงนิทรา เงือกน้อยแอเรียล โฉมงามกับเจ้าชายอสูร เป็นต้น สนนราคาประมาณ 1,100 – 3,400 เหรียญ สหรัฐ!!! สาวไหนสนใจอยากครอบครองสักชุด อย่าลืมเช็กขนหน้าแข้งว่าที่สามีก่อนสอย

3. ทำไมต้องมีแหวนแต่งงาน
         สมัยนี้แหวนหมั้น หรือแหวนแต่งงานเป็นหลักประกันของความรัก แต่สมัยก่อนนั้น เป็นการตีตราจองผู้หญิงว่า จะเป็นสมบัติของผู้ชาย บอกเป็นนัยว่าผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ

4. ทำไมต้องสวมแหวนนิ้วนางข้างซ้าย
เชื่อกันว่าที่นิ้วนางข้างซ้ายมีเส้นเลือดดำที่ต่อตรงสู่หัวใจ ชื่อว่า vena amoris หรือ vein of love แต่ในบางประเทศ สวมแหวนที่นิ้วนางข้างขวา เช่น โคลอมเบีย เยอรมัน นอร์เวย์ เปรูโปแลนด์ รัสเซีย เซอร์เบีย สเปน เวนเนซูเอลา ฯลฯ แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละวัฒนธรรม

5. ทำไมต้องสวมเวล
สมัยนี้การสวมเวล เป็นเรื่องของความสวยงาม มากกว่าความเชื่อ อย่างคนสมัยก่อน ซึ่งเจ้าสาวสวมเวลคลุมหน้าไว้ เพื่อป้องกันปิศาจร้าย ไม่ให้มองเห็นความงามของเธอ และยังเป็นกุศโลบาย สำหรับการแต่งงานแบบคลุมถุงชน ซึ่งบ่าวสาวจะไม่ได้เห็นหน้ากัน จนกว่าเจ้าบ่าวจะเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออก ถ้าหากว่าเจ้าสาวไม่งามดั่งเทพวีนัส ก็สายเกินแก้แล้วที่เจ้าบ่าวจะปฏิเสธ ในขณะที่ศาสตร์จิตวิทยาอธิบายว่า การซ่อนใบหน้าไว้ใต้ผ้าคลุม เป็นการเพิ่มความน่าเสน่หา ในตัวเจ้าสาวต่อเจ้าบ่าวยิ่งขึ้น

6. ทำไมต้องมีเพื่อนเจ้าสาว
ความเชื่อเรื่องปิศาจ (หรือผู้ร้าย) จะมาล่อลวงหญิงงาม ยังตามหลอกหลอน ความเชื่อของมนุษย์ไปเสียทุกงาน ในพิธีแต่งงาน จึงต้องมีเพื่อนเจ้าสาว เป็นตัวหลอกล่อให้ปิศาจงงเต้กว่า สาวสวยคนใดเป็นเจ้าสาวกันแน่ (ซึ่งเชื่อว่า ต้องสวยที่สุดในวันนั้น) เพื่อนเจ้าสาวต้องแต่งตัวสวยงาม แต่ต้องสวยน้อยกว่าเจ้าสาวด้วยนะ

7. ทำไมเค้กแต่งงานต้องเป็นชั้นๆ
ประเพณีของชาวแองโกล-แซ็กซอน มักหอบหิ้วขนมเค้กชิ้นจ้อย มาช่วยงานแต่งของเพื่อนบ้าน และมาถึงก็ วางซ้อนๆกัน พ่อครัวหัวใสชาวฝรั่งเศส เลยคิดทำขนมเค้กเป็นชั้นๆ เสียเลย

8. ทำไมต้องฮันนีมูน
ความหมายของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ในยุคโบราณ มาจากการลักพาตัวหญิง ที่หมายปองไปซ่อนตั วและรอจนครอบครัว ฝ่ายผู้หญิงท้อจะตามหา คู่รักดักอุ้ม จึงค่อยออกมาจากที่ซ่อน มาจากเรียกพฤติกรรมนี้ในภาษานอซ (Norse) ของชาวนอร์เวย์ว่า “hjunottsmanathr” ซึ่งหมายถึงความสุขสำราญใจ แต่ตำนานแถบยุโรปเหนือว่ากันว่า คำว่า honeymoon เป็นคำเปรียบเปรย ชีวิตคู่ว่าขึ้นลงเหมือนพระจันทร์ และในช่วงเดือนแรกของการแต่งงานนั้น ย่อมหวานหยดกว่าช่วงอื่น เป็น month of honey

บางตำนานก็ว่า เป็นประเพณีที่ในเดือนแรก คู่แต่งงานต้องดื่มเหล้าน้ำผึ้ง เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของร่างกาย ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับ การไปเที่ยวเลย จนมาถึงศตวรรษที่ 19 หลังพิธีแต่งงาน ชนชั้นสูง ในยุโรป มักเดินทางไปเยี่ยมญาติ ที่ไม่ได้ร่วมงานแต่งตามเมือง หรือประเทศต่างๆ สุดท้ายแล้ว ช่วงเดือนแห่งวันชื่นคืนสุขนี้ หมายถึงการพักผ่อน เปลี่ยนบรรยากาศของคู่แต่งงานนั่นเอง’

ขอขอบคุณที่มา wedding212.cafe

พิธีรดน้ำสังข์ และตำนานโบราณ

Posted on Updated on

1. เครื่องประกอบพิธีหลั่งน้ำสังข์
           ชุดพิธีสงฆ์ จะประกอบไปด้วยอุปกรณ์สำหรับประกอบพิธี มีชุดโต๊ะหมู่ พรมรองนั่ง กระโถน แก้วน้ำ ธูป ดอกไม้ พร้อมชุดอาหารเลี้ยงพระ 2 วง
แป้งเจิม และด้ายสายสิญจน์

           ชุดหลั่งน้ำพระพุทธมนต์  ประกอบด้วย พวงมาลัยบ่าวสาว มงคลแฝด พานรดน้ำ (พานที่ใช้วางหอยสังข์) ชุดตั่ง หรือถ้านั่งพื้นสามารถ ใช้พรมรองนั่งได้
หมอนรองมือ พานพุ่มดอกไม้สำหรับรับ น้ำสังข์ ของชำร่วย และดอกไม้ประดับ 2 ข้าง เพื่อภาพถ่ายที่สวยงาม อาจจะมีดอกไม้ประดับ ด้านข้างซ้ายและขวา

 

แต่งงาน

          2. เคล็ดลางความเชื่อ
             ในเรื่องเกี่ยวกับพิธีรดน้ำสังข์นี้นะคะ ถือเคล็ดลางกันว่า หากเสร็จสิ้นแล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลุกขึ้นก่อน โบราณว่าผู้นั้นจะเป็น ใหญ่ในครอบครัว ด้วยเหตุนี้
ผู้ใหญ่มักจะบอกให้ทั้งสองฝ่ายช่วยกันประคับประคองกันลุกขึ้นแทนที่จะยุให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดลุกขึ้นก่อน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่อไปค่ะ อันนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อ

          3. ทำไมต้อง หอยสังข์
             สังข์ หรือหอยสังข์นั้น ประชาชนชาวไทย ต่างก็มีความนับถือกันว่า เป็นของที่เป็นอุดมมงคลอย่างสูงยิ่ง และในงานพิธี มงคลต่าง ๆ ซึ่งจัดขึ้นในบ้านเรือน
ของประชาชนชาวไทยเรา เช่น งานมงคลสมรส เป็นต้น เราก็มักจะได้พบหอยสังข์ ซึ่งใช้เป็นที่ หลั่งน้ำแด่คู่บ่าวสาวเพื่อจะทำให้อยู่เย็นเป็นสุข หอยสังข์
นั้นนอกจากจะใช้เป็นเครื่องหลั่งน้ำ เพื่อให้มีความสุขความเจริญแล้ว ยังใช้เป่าเพื่อให้ได้ยินเสียง ให้เกิดความเป็นสิริมงคลอีกด้วย บางตำนานและ บางความเชื่อก็ว่า
ที่เรานำหอยสังข์มาใช้ใน พิธีรดน้ำสังข์ ก็เพราะว่า สังข์ คือหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 14 อย่าง อันเกิดจากการกวนเกษียรสมุทรของเหล่าเทวดาและอสูร จึงถือเป็นของ
สิริมงคลสำหรับคู่บ่าวสาว ส่วนประเพณีการใช้น้ำพระพุทธมนต์บรรจุในสังข์ ก็โดยเหตุที่คนไทยเป็นพุทธศาสนิกชน ดังนั้นน้ำที่เกิดจากการ เจริญพระพุทธมนต์
จึงถือเป็น สิ่งมงคล ยิ่ง จึงทำให้ในพิธีแต่งงานได้นำน้ำมาบรรจุในหอยสังข์ การรดน้ำสังข์ จึงเสมือนเป็นการอวยพรให้คู่บ่าวสาวมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตคู่

1_60

          4. ตำนานสังข์
             สำหรับประวัติและความเป็นมาของ หอยสังข์ ซึ่งนิยมกันว่าเป็นอุดมมงคลสูง จนทำให้ต้องนำมาใช้ในงานมงคลต่าง ๆ ก็มีที่มาจากเรื่องเล่าเป็นปรัมปรา
ต่อกันมาว่า มียักษ์ตนหนึ่งชื่อว่า สังข์อสูร ยักษ์ตนนี้ได้มาพบพระพรหม ในขณะที่บรรทม หลับอยู่และมีพระเวทต่าง ๆ ไหลออกมาจากพระโอษฐ์ ก็ให้เกิดความอิจฉา
จึงได้ขโมยเอาพระเวทต่าง ๆ นั้นไปเสียเพื่อที่ พวกพราหมณ์จะได้ไม่มีพระเวทเป็นเครื่องสวดอ้อนวอนพระพรหมและเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ได้อีก แต่ในขณะเดียวกันนั้น
พระนารายณ์ผู้เป็นเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นการกระทำของยักษ์สังข์อสูรนั้นทุกประการจึงติดตามไปเพื่อจะเอาพระเวท นั้นกลับคืนมา เมื่อยักษ์สังข์อสูรเห็น พระนารายณ์
ติดตามตนมาในระยะกระชั้นชิด เช่นนั้นก็เห็นว่าเป็นการจวนตัวจึงได้กลืน พระเวททั้งหมดลงไปไว้ในท้องของตน แล้วกระโดดลงไปในน้ำมหาสมุทรดำน้ำ หนึหายไป
เมื่อพระนารายณ์เห็นดังนั้น จึงได้เนรมิตร่างของพระองค์ให้เป็นปลาใหญ่ เที่ยวค้นหาตัวยักษ์สังข์อสูรเพื่อจะจับตัวไว้ให้ได้ก่อนที่ยักษ์สังข์อสูรนั้นจะทำลาย พระเวท
ให้หมดไปจากโลก ในที่สุดพระนารายณ์ก็จับตัวยักษ์สังข์อสูรเอาไว้ได้ แล้วจึงทวงถามเอาพระเวทคืน แต่ยักษ์สังข์อสูรนั้นไม่ได้มีการเจรจาโต้ตอบแต่ประการใด
ได้แต่นิ่งเฉยอยู่เท่านั้น เมื่อพระนารายณ์ผู้เป็นเจ้าพิจารณาดูไปก็ได้ ้ทราบว่ายักษ์สังข์อสูรได้กลืนเอาพระเวทเข้าไว้ในท้องของตน จึงได้เอาพระหัตถ์บีบที่ปาก
ของยักษ์สังข์อสูร จนเนื้อที่ปากนั้นปริออกมาตามระหว่างนิ้วของพระองค์แต่เมื่อทรงเห็นว่ายักษ์สังข์อสูรนั้นยังไม่ยอมคืนพระเวทอีก จึงได้ทรงเอานิ้ว พระหัตถ์ล้วง
เข้าไป ในท้องของสังข์อสูรแล้วทรงค้นหาพระเวทซึ่งอยู่ในท้องของสังข์อสูร เมื่อทรงเอาพระเวทกลับคืนออกมาจากท้อง ของยักษ์สังข์อสูรได้จนหมดเรียบร้อย
ทุกพระคัมภีร์แล้ว พระนารายณ์ผู้เป็นเจ้าจึงได้ทรงสาปยักษ์สังข์อสูรนั้นว่า ขอให้เจ้าจงมีสภาพ ร่างกายเป็นอย่างนี้และจงอยู่แต่ในน้ำสืบไป อย่าได้ขึ้นมาบนบก
อีกต่อไปเลย เมื่อชาวมนุษย์ทำงานมงคลใด ๆ จึงค่อยมาจับเอา ตัวเอ็งไปร่วมในงานพิธีมงคลนั้นด้วย เมื่อทรงสาปแล้วได้ทรงทิ้งร่างของยักษ์สังข์อสูร นั้นลงไปใน
ในมหาสมุทรทันที แล้วจึงได้เอา พระเวทนั้นมาส่งคืนให้แก่พระพรหมผู้เป็นเจ้าของเดิม เมื่อยักษ์สังข์อสูรนั้นอยู่ในน้ำมหาสมุทรเนิ่นนานเข้าจึงได้กลับกลายมา
เป็นหอยสังข์ และมีสภาพเหมือนกับคำที่พระนารายณ์ได้สาปไว้ทุกประการ ตามบริเวณร่างกายของหอยสังข์นั้น ได้มีรอยนิ้วพระหัตถ์ของพระนารายณ์ผู้เป็นเจ้า
ยังปรากฏอยู่ในขณะที่พระองค์ทรงบีบปากเพื่อค้นหาคัมภีร์พระเวทเมื่อครั้งแรก และที่ปากของหอยสังข์จึงเป็นรอยยาวออกมานั้น ก็เพราะพระนารายณ์ท่านลากคัมภีร์
พระเวทต่าง ๆ ออกมาทางปากครั้น เมื่อถึงเวลาจะทำพิธีมงคลต่าง ๆ จึงจะนำหอยสังข์นั้นมาเข้าร่วมอยู่ในงานพิธีมงคล อย่างพิธีแต่งงานเพราะหอยสังข์เคยเป็นที่
บรรจุพระเวทต่าง ๆ ไว้ในท้องของตนจนครบทุกประการนั่นเอง

 ขอขอบคุณ ที่มา center wedding

เด็กศิลปากรเจ๋ง ชนะเลิศการออกแบบชุดวิวาห์ !

Posted on Updated on

แต่งงาน

สำหรับ การประกวดออกแบบชุดวิวาห์ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ซึ่งจัดการประกวดมาตั้งแต่ ช่วงเดือน กุมภาพันธ์ 2552 ได้ทำการตัดสินในวันที่ 29 พฤษภาคม 2552 ซึ่งผู้ชนะเลิศได้รับถ้วยประทานจาก พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ และ รางวัลมูลค่า 30, 000 บาท ในหัวข้อประกวด “You’ re Princess” การ ประกวดออกแบบชุดวิวาห์ในครั้งนี้ ได้รวบรวมผลงานจากกว่า 163 ผลงานจากยังก์ดีไซเนอร์ทั่วประเทศ และเหลือผู้เข้ารอบสุดท้ายจำนวน 9 ท่าน จำนวน 10 ฃุด เพื่อชิงความเป็นหนึ่ง ของการประกวดออกแบบชุดวิวาห์

การตัดสินในครั้งนี้ได้รับเกียรตืจากคณะกรรมการผู้ทรงเกียรติจากสถาบันต่างๆ ได้แก่
อาจารย์ณัฐวัฒน์ สีวะรา Program Director จากสถาบันออกแบบนานาชาติชนาพัฒน์
คุณศรุดา นิ่มพิทักษ์พงศ์ จากคูนิต้า
คุณธีระ ฉันทสวัสดิ์ จากห้องเสื้อ T-RA
อาจารย์สวรินทร์ สมจิต หัวหน้าสาขาวิชาออกแบบแฟชั่น คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต

05409_002 05409_003
  05409_004

จากผู้เข้ารอบจำนวน 9 ท่าน และชุดวิวาห์จากผู้เข้าแข่งขันในการประกวด ผู้เข้าออกแบบชุดวิวาห์ในธีม “You’ are princess” สำหรับ ผู้ชนะเลิศการประกวดชุดวิวาห์ในครั้งนี้ ได้แก่ นาย พีท ผาสุก จบจากคณะมัณฑศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ชื่อชุดในการประกวด The Futuristic Princess แนวคิดหลักของชุด ซึ่งเป็นเจ้าหญิงในจินตนาการ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจ มาจากโลก แห่งอนาคตที่มีความก้าวล้ำทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ซึ่งภายใต้ทุกอย่างที่ดูแข็งแกร่ง รวดเร็ว และมักจะมีความอ่อนหวาน และความเป็นผู้หญิงแฝงอยู่เสมอ สำหรับวัสดุที่ใช้ จะใช้วัสดุที่มีผิวสัมผัส ต่าง ๆ กัน แต่มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว โดยใช้อะคลีลิกใส ประกอบเข้ากับลูกไม้ และตาข่ายที่มี ความบางเบา ทับซ้อนกันเป็นชั้น สื่อสะท้อนให้เห็นถึงคอบเซปต์ของงานอย่างชัดเจน

รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่นายปุณณ์ภัทร อรุณศิริโรจน์ ปัจจุบัน ศีกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ในคอนเซปต์ The Swan Princess เป็นรูปแบบของการเรียงตัวของขนหงส์ ความสวยงาม และสง่างามของหงส์

05409_00505409_00805409_007
  

รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้แก่ นายรุจน์พงษ์ ขจรเดช ปัจจุบันศีกษาอยู่ที่คณะศิลปกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในคอนเซปต์ Princess of Mucha โดยได้แรงบันดาลใจจากหญิงสาว และดอกไม้

จากภาพรวมของคณะกรรมการ ได้ มีความเห็นพ้องต้องกันว่า ชุด The Futuristic Princess ควรได้รับรางวัลที่ 1 เนื่องจาก เป็นการเลือกวัสดุต่าง ๆ นำมาผสมการกันอย่างลงตัว เช่นนำอะครีลิค ลูกไม้ ผ้า มาผสานกัน ซึ่งกรรมการมองว่า การนำวัสดุต่าง ๆ มาผสานกันได้นั้นเป็นเรื่องยาก นอกจาก เรื่องวัสดุแล้ว การนำเสนอบนเวที (presentation) รวมไปถึงการเลือกนางแบบ เครื่องประดับ การแต่ง หน้า และการเดินบนเวที เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ในมุมมองของดีไซเนอร์ จะมองเห็นถึวการคิด ที่ไม่หยุดนิ่ง ส่วนชุดที่ 2 และ 3 กรรมการมองว่า เป็นชุดที่นำมาปรับประยุกต์ให้ใช้ได้จริง

บริษัท เอ็น. ซี. ซี เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด ผู้จัดงานเวดดิ้ง แฟร์ 2009 บาย นีโอ ยินดีที่จะเป็นเวทีให้เหล่ายยังก์ดีไซเนอร์ ได้ประลองความคิด เพื่อเป็นโอกาสให้เหล่ายังก์ดีไซเนอร์ ได้แสดงออกทางความคิดโดยไม่ปิดกั้น และเพื่อให้กลุ่มยังก์ดีไซเนอร์ ได้มีประสบการณ์ในการ แข่งขันในเวทีระดับประเทศเช่นนี้อีกต่อไป

ที่มา สนุก.คอม

สำหรับคนที่แต่งงานแล้ว หรือกำลังจะแต่งงาน, หรือยังไม่ได้แต่ง

Posted on Updated on

ในวันแต่งงานของผม ผมจูงมือภรรยาของผมในอ้อมแขน รถแต่งงานจอดหน้าที่พักของเรา เพื่อนเจ้าบ่าวบอกผมว่า ผมควรจะอุ้มเธอเข้าไปในบ้าน ดังนั้นผมจึงทำตาม เธอเขินอายในอ้อมแขนผม ผมช่างเป็นเจ้าบ่าวที่มีความสุขที่สุดในโลก… นี่เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วสิบปี… ในวันถัดๆ มาทุกอย่างก็เหมือนเดิม เรามีลูกด้วยกัน…ผมทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะหาเงินมาจุนเจือครอบครัว… เมื่อเราเริ่มมีฐานะที่ดีขึ้น… ความห่างของเราก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน…

ทุก ๆเช้าเราออกจากบ้านไปด้วยกันแล้วก็ถึงบ้านเวลาเดียวกัน ลูกเราเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน ดูเหมือนความรักของเราช่างน่าอิจฉายิ่งนัก… แต่แล้วความสงบสุขก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมิได้คาดหมาย….

แต่งงาน

เจนเข้ามาในชีวิตของผม …. ผมยืนอยู่ที่ระเบียงบ้าน… เจนเข้ามาสวมกอดผมจากด้านหลัง.. หัวใจผมเต้นแรงด้วยความรัก… ที่นี่…เป็นอพาร์เมนท์ที่ผมซื้อให้เธอ…เธอบอกว่า คุณเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทุกคนถวิลหา… คำพูดของเธอทำให้ผมนึกถึงภรรยาผม… ตอนที่เราแต่งงานกันใหม่ ๆ ..เธอบอกว่า วันที่คุณประสบความสำเร็จ ผู้ชายอย่างคุณจะมีแต่ผู้หญิงวิ่งเข้ามาหา… ผมเริ่มรู้สึกลังเล… ผมรู้ว่าผมกำลังทรยศภรรยาผม… แต่ผมก็ได้ทำลงไปแล้ว…. ผมปลีกตัวออกจากเจน “วันนี้คุณไปเลือกเฟอร์นิเจอร์เองแล้วกันน๊ะ ผมต้องเข้าออฟฟิศ”… แน่นอน… เธอไม่ค่อยพอใจนัก เพราะผมสัญญากับเธอว่าเราจะไปด้วยกัน… ในตอนนั้น…ความรู้สึกถึงการหย่าร้างเริ่มวิ่งเข้ามาในความคิดผม….ทั้งที่จริงๆ แล้วผมไม่เคยมีความคิดนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

แต่ผมก็พบว่าเป็นเรื่องยากที่จะบอกกับภรรยาของผม…. ไม่ว่าผมจะพูดกับเธอดีสักเพียงใด… เธอจะต้องเจ็บปวดใจอย่างแน่นอน… จริง ๆ แล้วเธอเป็นภรรยาที่ดีมาก… ทุก ๆ เย็นเธอจะวุ่นวายกับการทำอาหาร..ในขณะที่ผมนั่งอยู่หน้าทีวี ทานอาหารเสร็จเราก็นั่งดูทีวีด้วยกัน… หรือ… ถ้าผมจะเลือกเป็น… นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์…. มองเรือนร่างอันงดงามของเจน… ช่างเป็นอะไรที่หน้าฝันถึงเสียจริง

ผมร่างสัญญาการหย่าร้างขึ้น…ระบุว่า..เธอเป็นเจ้าของบ้าน…ทุก ๆ อย่างในบ้าน ทั้งรถ… หุ้นบริษัท 30% ผมยกให้เธอหมด…. เธอเหลือบมองกระดาษที่ผมร่างขึ้น…แล้วฉีกมันทิ้ง…มันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น…ผู้หญิงที่ผมอยู่ด้วยมาเป็นร ะยะเวลาสิบปีกลายเป็นคนแปลกหน้ากันภายในหนึ่งวัน…ผมไม่สามารถคืนคำที่ผมพูดไปได้…เธอร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างท ี่สุด…สำหรับผมแล้ว…การร้องไห้ของเธอเหมือนเป็นการปลดปล่ยยความสับสนของตัวผมเอง…หลังจากที่ผมกลุ้มใจกับการตัด สินใจครั้งนี้ของผม..ในที่สุด…มันก็เป็นรูปธรรมขึ้นมาจริง ๆ เสียที

แต่งงาน

คืนนั้น…ผมกลับถึงบ้านด้วยเวลาดึก…เห็นเธอเขียนอะไรบางอย่างบนโต๊ะ..ผมหลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความเพลีย…ผมตื่น ขึ้นมาอีกทีแล้วพบว่า…เธอเขียนเงื่อนไขการหย่าร้างว่าเธอไม่ต้องการสิ่งใดจากผม…แต่เธอต้องการให้ผมให้เวลาเธอหนึ ่งเดือนเพื่อตั้งตัวสำหรับการหย่า…และในช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนนั้นทุกอย่างต้องดำเนินไปตามปกติ…ด้วยเหตุผลที่ว่ าเธอต้องการให้ลูกจบการศึกษาซึ่งกำลังจะมาถึงเสียก่อน..เธอไม่อยากให้ลูกต้องเห็นความล้มเหลวในการแต่งงานของพ่อแม่ก่ อนเวลานั้นจะมาถึง…รัชต์..คุณจำได้มั๊ย…วันที่เราแต่งงานกัน…คุณประคองชั้นไว้ในอ้อมกอดในวันที่เราเข้าเรือนหอ ..ผมพยักหน้า..นั่นเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของชั้น…ชั้นมีเรื่องขอร้อง…ชั้นอยากให้คุณประคองชั้นไว้ในอ้อมกอดจา กห้องนอนไปถึงด้านล่างทุกวันนับจากวันนี้ไปจนถึงวันที่เราต้องแยกจากกัน ผมยอมรับด้วยความเต็มใจ…ผมรู้ดีว่าเธอคิดถึงวันดีๆ เหล่านั้น…และเธอต้องการให้ชีวิตการแต่งงานเธอจบลงด้วยความทรงจำที่ดี
ผมบอกเจนถึงเงื่อนไขที่ภรรยาผมตั้งขึ้นในการหย่าร้าง…เธอหัวเราะถึงความไร้สาระของเงือนไข….ภรรยาผมบอกกับผมว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม…เธอจะต้องยอมรับผลของการหย่าร้างให้ได้…คำพูดของเธอทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ ง….เราไม่ได้ถูกต้องตัวกันเลยนับแต่วันที่ผมขอเธอหย่า…ความจริงเหมือนจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกันด้วยซ้ำไป…พอถึงวันที่ผ มประคองเธอลงจากห้องวันแรก…มันจึงทำให้ผมทำตัวไม่ถูก…ลูกชายเราตบมือแล้วพูดด้วยความดีใจว่า ว้าว… วันนี้พ่ออุ้มแม่ลงจากห้องด้วย….มันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น……เธอบอกว่าอย่าบอกลูกเราถึงเรื่องของเรา…ผม พยักหน้า…ด้วยความรู้สึกผิดอย่างเต็มเปี่ยม…ผมขับรถไปส่งเธอที่ป้ายรถเมล์..แล้วเลยไปออฟฟิศ

วันถัดมา…ความรู้สึกขัดเขินเริ่มน้อยลงไป…เธอซบบนอกผม…เราใกล้ชิดกันมากจนผมได้กลิ่นน้ำหอมของเธอ…ผมถึงได้ตร ะหนักว่า….เธอไม่ใช่เด็กสาวอีกต่อไปแล้ว…เธอเริ่มมีริ้วรอยบนใบหน้ามากขึ้น

ในวันที่สาม…เธอกระซิบบอกผมว่าสวนกำลังรื้ออยู่ให้เดินระวังด้วย…

ในวันที่สี่…มันช่างเหมือนกับว่าเราเป็นคู่รักที่หวานชื่นมาก…ภาพของเจนเริ่มเลือนลางไป…

วันที่ห้าและหก..เธอคอยเตือนผมในเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นเธอวางเตารีดไว้ที่ไหน..ผมควรจะระวังอะไรบ้างตอนทำอาหาร…และอื่นๆ อีกมากมาย…ความสนิทสนมของเราเพิ่มมากขึ้นทุกที…ผมไม่ได้บอกเจนถึงเรื่องนี้เลย…

ผมรู้สึกว่าผมอุ้มเธอง่ายขึ้นทุกวันโดยไม่ได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอเลย…หรือบางทีคงเป็นเพราะผมแข็งแรงข ึ้น…แต่แล้วผมก็พบว่ามันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด…เป็นเพราะว่าเธอผอมลงจนไม่สามารถใส่เสื้อผ้าเดิมได้..นั่นต่างหากที ่ทำให้ผมอุ้มเธอได้ง่ายขึ้น ผมรู้ดีว่าเธอพยายามซ่อนความขมขื่นเอาไว้… ลูกของเราร้องขึ้นว่า พ่อได้เวลาอุ้มแม่แล้วน๊ะ…สำหรับลูกแล้ว…การได้เห็นพ่ออุ้มแม่เป็นภาพที่เขามีความสุขที่สุด….เธอเอื้อมมือไปกอ ดลูกไว้แน่น…ผมทนมองภาพนั้นไม่ได้จริง ๆ ผมกลัวว่าผมจะเปลี่ยใจในวินาทีสุดท้าย

และแล้ววันสุดท้ายก็มาถึง….ผมอุ้มเธอไว้ในอ้อมกอด…เท้าผมแทบจะก้าวไม่ออก……เธอบอกกับผมว่า…ความจริงแล้ว… ชั้นอยากให้คุณอุ้มชั้นไปจนเราแก่เถ้า…ผมกอดเธอแน่น…และผมก็ตระหนักว่า..ชีวิตคู่ของเราขาดการดูแลเอาใจใส่ซึ่งกั นและกัน…ผมขึ้นรถทันทีเพื่อจะไปยังจุดหมายใหม่..ผมลังเลเล็กน้อย..แต่ในที่สุดแล้ว..ผมก็มาพบเจนจนได้….เธอเปิดปร ะตูออก…ผมบอกเธอว่า เจน..ผมขอโทษ…ผมจะไม่หย่า….เธอมองหน้าผม แตะหน้าผากผม..คุณสบายดีหรือเปล่า

เจน…ผมขอโทษ…ผมขอโทษจริง ๆ… ผมจะไม่หย่ากับภรรยาผม…ชีวิตการแต่งงานของเราน่าเบื่อมันเป็นเพราะเผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กน้อย…ผ มขาดการเอาใจใส่ในตัวเธอ….มันไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รักกัน….ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว….ว่าตั้งแต่วันที่ผมอุ้มเ ธอเข้าบ้าน…เธอมีลูกให้ผม…ผมควรจะประคองเธอไปจนแก่… เจนตบหน้าผมอย่างแรงและกระแทกประตูใส่ผม….ระหว่างทางกลับบ้านผมแวะร้านดอกไม้…. พนักงานขายดอกไม้ถามว่าจะเขียนว่าอะไร…

.ผมให้เธอเขียนว่า… “ผมจะอุ้มคุณทุกเช้าจนกว่าเราจะแก่ ”

ที่มา ร่มโพธิ์ไทร

การใช้ชีวิตคู่

Posted on Updated on

DSC_0004          ชีวิตคู่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่เพียงรักกันเท่านั้น หลายคู่ใช้ความรักตัดสินใจในการลงเอยโดยการแต่งงาน โดยที่ยังไม่ได้ศึกษานิสัยใจคอว่าคู่ของเราเป็นคนอย่างไร ทำให้หลายคู่ต้องจบชีวิตรักด้วยการ “หย่าร้าง” สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว จึงจัดฝึกอบรมหลักสูตร “การเตรียมความพร้อมก่อนมีครอบครัว” เพื่อให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตคู่ สำหรับคู่ที่กำลังจะแต่งงานกัน

พญ.เพ็ญศรี พิชัยสนิท ประธานกรรมการมูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง บอกว่า สังคมไทยที่ดีต้องมีครอบครัวที่มีชีวิตที่สมบูรณ์ มีความสุข

“จริงๆ ในชีวิตของแต่ละคนที่กำลังเติบโตและเรียนรู้ต้องเตรียมความพร้อมตั้งแต่เป็นหนุ่มสาว ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพ โภชนาการต่างๆ ต้องดูแลให้ดี เพราะเมื่อถึงเวลาใช้ชีวิตคู่จริงๆ เมื่อมีร่างกายแข็งแรงย่อมได้เปรียบอยู่แล้ว และเมื่อดูแลตั้งแต่เป็นหนุ่มเป็นสาวเวลามีปัญหาจะได้แก้ไขได้ถูกต้องและทันเวลา”

นอกจากนี้ พญ.เพ็ญศรียังแนะวิธีการเตรียมตัวก่อนแต่งงานด้วยว่า เมื่อมีคู่รักต้องรู้จักเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ศึกษานิสัยส่วนตัว เพราะรสนิยมคนเราต่างกัน และต้องดูอารมณ์ด้วยว่าเวลาอีกคนโกรธ โมโห ดีใจ เสียใจจะมีอารมณ์เป็นอย่างไร รวมไปถึงวิธีการดูแนวคิดในการดำเนินชีวิต หาจุดเด่น จุดด้อย เพื่อรู้หาวิธีชม หาจุดที่ให้อภัย

“ก่อนแต่งงานกันต้องหันหน้าคุยกันให้มาก ศึกษาให้มาก และบอกกับคู่ของตัวเองเลยว่า ชื่นชม และไม่ชอบนิสัยแบบใดของแต่ละฝ่าย บอกเลยว่าอันนี้ทนได้ อันนี้ทนไม่ได้ เพื่อเป็นการเตรียมตัว และปรับความเข้าใจกัน ดีกว่าไปปรับตอนแต่งงานแล้ว อีกสิ่งที่สำคัญสำหรับการใช้ชีวิตคู่ที่จำเป็นต้องเคลียร์กันก่อนแต่งงาน คือเรื่องเงิน ที่อยู่ และลูกว่าควรมีเมื่อไหร่ ต้องช่วยกันเลี้ยง รวมถึงสร้างกติกาการอยู่ร่วมกัน อย่างเวลาทะเลาะกันห้ามใช้ความรุนแรง และห้ามเก็บเสื้อผ้าหนีออกจากบ้าน ควรทำใจให้เย็นแล้วหันหน้ามาคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วจะแก้ปัญหากันอย่างไร”

พญ.เพ็ญศรีบอกอีกว่า ครอบครัวที่มั่นคงต้องไม่มีปัญหาเรื่องเงิน ควรที่จะทำบัญชีรายรับรายจ่าย เพื่อลดค่าใช้จ่าย ซึ่งมนุษย์มีกิเลส แต่สามารถทำกิเลสให้เป็นความพอเพียงได้

“การใช้ชีวิตคู่ต้องมีสติให้ดีๆ เด็กที่มีปัญหาทุกวันนี้เพราะเกิดจากครอบครัว พ่อแม่ตีกัน ทะเลาะ สุดท้ายคนที่มีปัญหาคือลูก เวลาชี้นิ้วว่าใคร อย่าลืมว่านิ้วที่เหลือก็ยังชี้กลับมาที่ตัวเองอยู่ ดังนั้น ควรเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีความรักและความเข้าให้กันมากๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้จากการเรียนรู้”

ชีวิตคู่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน อย่าลืมใช้สติในการครองคู่และแก้ปัญหา

ข้อมูลจาก มติชน

ทำไมจึงไม่ควรแต่งงานตอนอายุน้อย?

Posted on Updated on

แต่งงาน

ข้อเสียของการแต่งงานเมื่อยังเด็ก มีโอกาสที่จะแยกทางกันสูง

“คุณมีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงในช่วงวัย 20 ปีขึ้นไป” ดร. เจนน์ เบอร์แมน จิตแพทย์บำบัดในเบเวอร์รี่ ฮิลล์ อธิบาย ” ดังนั้นหากว่าคุณรอจนถึงช่วง 20 ปลายๆ คุณได้ผ่านพ้นหลายๆ อย่างที่ไม่ดีมาแล้ว ดังนั้นมันก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับชีวิตคู่ของคุณ

คุณไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไรจากการมีชีวิตคู่ “จากการที่ได้ออกเดทบ่อยๆ ในชีวิต คุณได้เรียนรู้ว่าคนชนิดไหนที่จะสามารถดึงสิ่งที่ดีที่สุดจากตัวคุณออกมาได้” เบอร์แมนบอก เพราะฉนั้น พอมาถึงช่วงอายุ 20 ปลาย ๆ เราจะสามารถรู้ได้ ว่าอะไรที่คุณพอรับได้ในคู่ชีวิต และอะไรที่คุณไม่อยากรับ”

คุณจะทุ่มเทตัวเองให้เรื่องงานไม่ได้ โดยทั่วไปแล้วเพื่อนๆ ที่ทำงานของคุณจะมุ่งมั่นอยู่กับงาน แต่คู่แต่งงานที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวนั้น จำต้องตระหนักถึงความต้องการของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย “ทั้งสองจำต้องมีการเสียสละในเรื่องของงาน ในขณะที่เขาควรจะต้องแข็งขันกับมัน”

เบอร์แมนบอก คุณข้ามขั้นตอนของความสนุกสนานสุดเหวี่ยง เหตุผลหนึ่งที่ผู้ชำนาญการเชื่อว่า คุณจะพร้อมที่จะแต่งงานในช่วง 20 ปลายๆ เพราะว่าคุณผ่านชีวิตรักสนุกมามากแล้ว “คุณจะเห็นว่าชีวิตโสดนั้นไม่สนุกอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นคุณจะก้าวต่อไปข้างหน้า ในการมีชีวิตคู่แบบไม่ต้องหันกลับมาเสียดาย” เบอร์แมน สรุป
ข้อมูลจาก

สำนักข่าวไทย อ.ส.ม.ท.

แต่งงาน

ข้อคิดดีๆเรื่องการแต่งงาน โดย อ.สุกมล

Posted on Updated on

     อ่านแล้ว เจ็บจี๊ด…ตรงใจ
บทความโดย นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล / ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

ในฐานะผู้ชายดีๆ ที่หายากคนหนึ่ง ผมรู้สึกเห็นใจสตรีเพศจริงๆครับ…
ช่วงเวลาในการเลือกคู่ของเธอทั้งหลายช่างสั้นยิ่งนัก
พราะช่วงอายุขัยของวัยสาวเริ่มผลิบานเมื่อประมาณ 13 ปี
แล้วมาสุดเขตแดนเมื่อวัยสามสิบ…

วันเกิดครบรอบ 30 จึงเป็นตัวเลข! แห่งความสะเทือนขวัญ
ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก…
หลายคนไม่อยากพูดถึง คนอื่นก็ไม่ควรเอ่ยปากด้วย…
ถือเป็นมารยาทสังคมอย่างหนึ่ง ยกเว้นพวกมีวาจาเป็นอาวุธ
ที่ชอบถามว่า “ปาอะไรเอ่ยที่ผู้หญิงกลัวที่สุด“
เฉลย ‘! ปาเข้าไปสามสิบยังไม่มีผัว ‘ …
ใครดันถาม มันผู้นั้นสมควรตาย

ตอนเรียนหนังสือเป็นนักเรียนนักศึกษา
คุณพ่อคุณแม่ก็สอนนักสอนหนาว่า
‘อย่าริรักในวัยเรียน ‘ ‘ตั้งใจเรียนหนังสือให้ดี จบแล้วค่อยมีแฟน’
ทั้งๆ ที่ไอ่ตอนเรียนหนังสือมีโอกาสพบปะเพศตรงข้ามมากหน้าหลายตา
ก็หาได้สนใจไม่ เป็นคนประเภท ‘รักไม่ยุ่ง มุ่งแต่เรียน’
ทุ่มเทชีวิตให้แก่การศึกษา…เมื่อเติบใหญ่เราจะได้มีวิชา
เป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน

หลังจบการศึกษา ประกอบสัมมาอาชีวะ ขณะเดียวกันก็ใช้เวลาว่าง
เลือกสรร ควานหา ผู้จะมาเป็นเจ้าบ่าวในอนาคต
ตั้งสเปกว่าต้องได้แฟนหนุ่มประเภทซูเปอร์เพอร์เฟค
อย่างวิลลี่ แมคอินทอชหรือจอห์นนี่ แอนโฟเน่ หรืออย่างน้อยๆ
ก็ต้องมาดแมนแฮนซั่ม หล่อล่ำดำขรึม ถึง
จะได้มาตรฐาน… ไอ่ประเภทหุ่นอัฟริกา หน้าติมอร์
อย่าได้สะเออะหน้ามาให้เห็น…ไม่มีทางได้แอ้มหรอก

จากวันเป็นเดือน – จากเดือนเป็นปี
ความรักไม่มีวี่แววคืบหน้าแม้วันเวลา
ผ่านไป… เพราะที่ทำงานทั้งห้องมีผู้ชายอยู่แค่ 5 คน
เจ้านายก็! มีเมี ยแล้ว… ไม่อยากตกเป็นภรรยาบุญธรรม
สองคนดันเป็นเกย์…อีกคนยังลังเลอยู่ว่าจะเป็นดีหรือเปล่า
คนสุดท้ายเป็นชายแท้
แต่กำลังถูกแย่งตัวระหว่างเกย์สองคนอยู่
ไม่อยากเข้าไปเป็นมือที่สาม…

นั่งรถมาทำงานก็สองชั่วโมงครึ่ง
กลับอีกสองชั่วโมงสี่สิบนาที กลับถึงบ้าน หมดสิ้นกำลัง
ขอนอนเอาแรงก่อน………

ขณะที่งีบหลับอย่างสนิท ภาพในความฝันที่เธอเห็นคือ
สถาบันการศึกษาที่เธอจบมา…
แหล่งที่มีเพศตรงข้ามชุกชุม เธอหวนรำลึกนึกถึงผู้ชายดีๆ
ที่เขาเคยอุตส่าห์มาเฝ้าตามจีบ ตามง้อตามตื้อ
แล้วเราเล่นตัวจนเคยตัว
ในที่สุดผลประโยชน์ตกอยู่ที่เพื่อนสนิท
เป็นที่เรียบร้อย…

แหม ! ไม่น่าเลย ยิ่งคิดยิ่งเสียดายจริงจริ๊ง…ตื่นพอดี
เจอโลกแห่งความจริง ดำเนินชีวิตไปแต่ละวัน

ยิ่งเข้าหน้าหนาว ซองสีชมพูกลิ่นหอมๆจากเพื่อนๆ
เริ่มทยอยมา ตามหลังซอง กฐินซองผ้าป่าที่เพิ่งหมดฤดูกาล…
พอไปในงาน ดันเจอคำถามสะกิดใจอีกว่า
‘เมื่อไรจะถึงคิวแจกการ์ดของตัวบ้างล่ะ’…
‘โถ! การ์ดแต่งงานน่ะพิมพ์เสร็จแล้ว
เหลือแต่ชื่อเจ้าบ่าวที่ยังไม่ได้เลือกว่าจะเป็นใคร
เพราะครั้งนี้เขาเปลี่ยนระบบเลือกตั้งใหม่ ยังงงๆ
เรื่องปาร์ตี้ลิสต์อยู่เลย’

เอ๊ะ…เกี่ยวอะไรกัน!…ในใจก็คิดว่า ‘
ก็ฉันอยู่เป็นโสดนี่มันไม่ดียังไง
หนักกระบาลใครรึเปล่า’

เคยตั้งคำถามกันไหม…ว่าทำไมต้องแต่งงาน(กันด้วย!)…
คำตอบจากเพื่อนๆ
ที่แต่งงานแล้วหรืออยากจะแต่งงานอาจมีหลากหลาย…

‘อยู่คนเดียวมันว้าเหว่ อยากมีใครสักคนไว้แก้เหงา ‘ …
รายนี้เห็นผู้ชาย เป็นตัวคลายเหงา
‘รายได้ไม่พอใช้ หาคนช่วย (หาเงิน) ‘ …
ผมกลัวมาช่วยผลาญเงินมากกว่า
‘อยากมีลูก ก็ต้องหาพ่อก่อนสิ ‘…
เกิดได้ลูกแล้วจะทิ้งพ่อรึเปล่าเนี่ยะ

‘โรงงานพร้อมแล้ว ขาดผู้ประกอบการ’…
เจ้าของคำตอบกำลังหาผู้ร่วมลงทุนฯลฯ

อันว่า ‘ ชีวิตคู่ ‘ อยู่ไปเพื่อสิ่งใด ?
ชีวิตคู่ คือ การเติมเต็มซึ่งกันและกัน ดังนั้นเมื่อมีชีวิตสมรสแล้ว
ครึ่งหนึ่งของ ชีวิตเราจะหายไป
ในส่วนที่ขาดจะมีครึ่ งชีวิตของอีกฝ่ายมาเติมแต่งแห่งพื้นที่ว่างนั้น
ขณะที่ครึ่งชีวิตของเราที่หาย ก็มิได้สูญสลายไปไหน
มันก็ไปเติมที่ว่างของคู่เรานั่นเอง

จุดมุ่งหมายของ! การแต่งงานคือ
การใช้ชีวิตคู่ให้มีความสุขมากขึ้นและมีชีวิตที่ดีขึ้น
เมื่อเป็นสามีภรรยาแล้วต้องมีความสุขมากกว่าตอนอยู่คนเดียว
ถ้าตอนอยู่ด้วยกันแล้ว มีแต่ความทุกข์ ความเจ็บปวด
ทุกข์ทรมาน
ก็ไม่รู้ว่า จะแต่งงานไปหาพระแสงดาบคาบค่ายที่ไหน…
อยู่คนเดียวมันส์กว่า

ชีวิตคู่ต้องเกื้อกูลกันและกัน ความก้าวหน้าของสามี
ภรรยาต้องมีส่วน
อย่างน้อยก็ปลอบใจในยามที่สามีเครียดจากการงาน
ชีวิตภรรยาถ้าไม่คิดเอาดี ในทางโลกก็เจริญในทางธรรม
กำลังใจต้องได้จากสามีเช่นกัน
อย่างน้อยก็อย่าหาทุกข์มาสุมเพิ่ม…
ถ้าคู่รักของเราประกอบมิจฉาอาชีวะ ติดเหล้า เล่นการพนัน
โกงบ้านกินเมือง
ชีวิตอีกฝ่ายก็เหมือนตก นรกทั้งเป็น

เพราะฉะนั้นเวลาเลือกแฟน
แทนที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องรูปร่างหน้! าตา
ฐานะการเงิน ยี่ห้อรถเก๋งที่ใช้อยู่ ฯลฯ
เปลี่ยนเป็นเงื่อนไขแค่สองข้อที่จำแสนง่าย คือ
หนึ่ง – สุขใจยามอยู่ใกล้ชิด
สอง – คู่ช่วยคิดชีวิตก้าวหน้า

เพราะชีวิตคู่คือการเติมเต็มชีวิตแก่กันและกัน
หาใช่เป้าหมายเพื่อการเสริม เพิ่มความเสียว
เพราะอยู่คนเดียวก็เสียวได้ ไม่ง้อใครให้เสียเวลา
ไม่เสียชาติเกิดหรอกครับ ถ้าคุณจะใช้ชีวิตเป็นโสด
ถือคติประจำใจว่า ‘อยู่เป็นโสด ดีกว่ามีผัวเลว’